กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผม ถ้าผิดพลาดยังไงขออภัยด้วยนะครับ (เป็นมือใหม่

)
ทำยังไงนะ? ถึงจะมีหุ่นดีๆ เหมือนกับคนอื่นเค้าบ้าง

หลายๆ คนคงมีคำถามนี้อยู่ในใจ ซึ่งผมก็เป็นคนนึงที่มี ผมต้องเท้าความก่อนว่าผมอ้วนมาแต่เด็ก จนผู้ใหญ่หรือเพื่อนๆ ติดภาพว่าอ้อ ไอ้คนนี้ไงที่อ้วนๆ ซึ่งปัจจุบันผมลดความอ้วนลงมาจนได้หุ่นที่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มา ^_^ แล้วก็มีหลายๆ คนถามสูตรผมมาเยอะว่าทำยังไงถึงผอม เมื่อก่อนนี้อ้วนนี่นา 555+ จริงๆ แล้วทุกๆ คนก็รู้เทคนิคการลดน้ำหนักที่ถูกต้องกันอยู่แล้วครับ แต่อาจจะไม่ได้โฟกัสกับการลดน้ำหนักมากนัก ดังนั้นก่อนที่จะบอกเคล็ดลับกัน ผมขอเล่าประสบการณ์การลดน้ำหนักของผมให้ฟังก่อนว่าผมเคยทำอะไรมาบ้าง
--- เริ่มต้นจากช่วงสมัย ม.4 ผมสูง 168 cm (ถือว่าเตี้ยเนาะ 555+) น้ำหนักเพิ่มขึ้นปีละ 3 - 5 kg มาโดยตลอด ซึ่งตอนนั้นมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 80+ kg (อ้วนท้วนสมบูรณ์มาก) จังหวะนั้นคุณแม่ผมแนะนำ “ยาลดน้ำหนัก” ตัวนึงจากหมอที่แม่บอกว่าเชื่อถือได้ ไม่โยโย่ เพราะมียาหยุด สามารถลดเฉพาะส่วนได้ด้วย (ซึ่งแม่ผมก็รับมาขายคนแถวบ้านด้วยนะ 555+) และบวกกับผมตั้งใจจะลดน้ำหนักอย่างจริงจัง เพราะเพื่อนๆ ในห้องเรียนเท่าที่สังเกตดู ผมอ้วนที่สุดจริงๆ ซึ่งผมรับไม่ได้ ผมเลยลองดูตามที่คุณแม่แนะนำ ตัดสินใจกินยาลดน้ำหนัก และทำอย่างอื่นควบคู่ไปด้วยเท่าที่จะทำได้ เพราะคุณแม่บอกว่าต้องทำอย่างอื่นควบคู่กันไปด้วย เช่น อดอาหารมื้อเย็น ออกกำลังกาย วิ่ง jogging เต้นแอโรบิก กินข้าว 1 ทัพพี (แบบไม่พูน) งดของทอด น้ำอัดลม ขนมหวานที่ผ่านเข้ามาในชีวิตทั้งหมด ซึ่งผมบอกเลยว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ทรมานมากที่สุดในชีวิต เพราะในแต่ละวันผมเจออาหารล่อตาล่อใจหลายอย่างมาก เช่น ไก่ทอด ลอดช่องแตงไทยน้ำกะทิ เฟรนช์ฟราย ที่เรียงรายกันอยู่บนโต๊ะอาหาร แต่เพื่อน้ำหนักที่ลดลง และหุ่นที่ดีในอนาคต ผมก็ต้องตัดใจ อดทนทำไปเรื่อยๆ
--- จนกระทั่งผ่านไปประมาณ 2 ปี คือผมอยู่ประมาณ ม.5 กำลังจะขึ้น ม.6 ผลปรากฏว่าผมผอมลงจริงๆ น้ำหนักผมจาก 80 kg ลดลงมาอยู่ที่ 65 kg อย่างน่าอัศจรรย์ เสื้อผ้า กางเกง ชุดทั้งหลาย ใส่แล้วหลวมหมด ผมดีใจมาก แต่สุดท้ายผมก็ต้องแลกมากับสุขภาพที่เสียไป และอาการข้างเคียงที่ไม่เคยสังเกตเลยว่าเราเป็น คือ พุงของผมมันย้วย ไม่กระชับ เวลาก้มเก็บของจะรู้สึกมึนๆ เหมือนจะวูบ รู้สึกหัวใจเต้นแปลกๆ เวลาเหนื่อย ซึ่งผมรู้เลยว่าสาเหตุมาจากยาลดน้ำหนักนั้นแน่นอน ผมเลยตัดสินใจหยุดการใช้ยาลดน้ำหนักตั้งแต่นั้น และเคราะห์ซ้ำกรรมซัด คือยาหยุดของคุณแม่หมด และหาซื้อยาตัวนี้จากหมอที่แม่บอกไม่ได้ด้วย (เอาแล้วไงกรู โยโย่แน่ๆ) ผมเลยต้องอดทนทำกิจวัตรประจำวันทุกอย่างในชีวิตหนักกว่าตอนลดน้ำหนัก เพื่อไม่ให้มันกลับมาโยโย่ คือ ต้องออกกำลังกายหนักกว่าเดิม ถี่กว่าเดิม ควบคุมอาหารหนักกว่าเดิม กินน้อยกว่าเดิม แล้วตอนนั้นเป็นช่วงเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วย ทำให้ชีวิตของผมช่วงนั้นยิ่งตกต่ำหนักเข้าไปอีก แล้วสุดท้ายหลังจากอดทนมานาน ผลที่ได้คือ ทุกอย่างเหมือนเดิม น้ำหนักไม่ลดลง หุ่นไม่ดีขึ้น พุงยังย้วยเหมือนเดิม กินของทอดชิ้นเดียวน้ำหนักขึ้นเลย เท่ากับว่าสิ่งที่ผมอดทนทำมามันสูญเปล่ามากๆ แต่ผมก็ยังมีความหวังว่าสักวันหุ่นผมจะดีขึ้น จึงทำแค่ควบคุมน้ำหนักนับแคลอรี่ เสริมการออกกำลังกายบ้าง (ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ออก 555+) หลังจากผมจบ ม.6 สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ผมก็กลับมาใช้ชีวิตปกติ กินบุฟเฟ่ กินของทอด กินของมัน อย่างเอร็ดอร่อย จนมารู้ตัวอีกทีคือ น้ำหนักผมอยู่ที่ 72 kg (โอ้ว shock!) ตัวเราเองจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงหรอกว่าอ้วนขึ้น แต่เพราะคนรอบตัวเราทัก และเอารูปเก่ามาเปรียบเทียบให้ดู เราเลยเห็นการขยายร่างของตัวเราเอง 555+ พอรู้อย่างนี้ ผมเลยคิดว่า ไม่ได้ละ เราต้องกลับมาลดน้ำหนักอีกครั้ง แต่เราจะไม่ใช้ยาลดน้ำหนักอีก เพราะ side effect มันเยอะมาก เลยเลือกการลดแบบธรรมชาติ แต่ก็ไม่รู้วิธีที่ถูกต้อง ตามอินเตอร์เน็ตก็มีการแชร์ความรู้เรื่องลดน้ำหนักเยอะแยะมากมาย ผมก็เข้าไปศึกษาแล้วก็ตั้งใจลดน้ำหนักอีกครั้งนึง แต่สุดท้ายครับ ผมไม่สามารถทำให้น้ำหนักกลับไปเป็น 65 kg เหมือนตอนมัธยมได้อีก น้ำหนักผมไต่ๆ อยู่ที่ 67 – 70 kg เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาตามการกิน ออกกำลังกายให้ตายก็ไม่ลง ผมเลยไม่รู้จะทำยังไง ก็ได้แต่ควบคุมให้น้ำหนักตัวเองไม่เกินจากนี้ แต่เวลาผ่านไป นานเข้าๆ จนกระทั่งผมเรียนปริญญาตรีจบ เข้าทำงานเป็นติวเตอร์ที่สถาบันกวดวิชาแห่งหนึ่ง ผมก็ใช้ชีวิตปกติควบคุมอาหาร ออกกำลังกายบ้าง ไม่ออกบ้างตามอารมณ์ จนวันนึงผมพบว่า น้ำหนักผมคงที่นะ แต่พุงมันใหญ่ขึ้น หน้าเราบวมขึ้น กางเกงก็แน่นขึ้น (ซื้อไซส์ใหม่ตลอดเลย 555+) โอ้ว ทำยังไงล่ะทีนี้? ...
แล้ววันนึง ผมได้เจอกับรุ่นพี่ที่ไม่ได้เจอกันมานาน เข้ามาแนะนำโปรแกรมลดน้ำหนักให้ผม เหมือนฟ้ามาโปรด (เว่อร์เนาะ 555+) พี่เค้าเข้ามาให้ข้อมูลการลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี (ซึ่งผมจะไม่เล่าอะไรเกี่ยวกับรายละเอียดโปรแกรมนะครับ เดี๋ยวจะกลายเป็นการขายของ 555+) ซึ่งตัวโปรแกรมไม่ได้ซับซ้อนเลย เป็นวิธีการที่ทุกคนรู้กันอยู่แล้ว ซึ่งผลปรากฏว่า... ผ่านไป 3 เดือน น้ำหนักผมลดลงไป 9 kg พร้อมกับสุขภาพที่ดีขึ้น และหุ่นที่ firm ขึ้นจนสัมผัสได้ว่าหน้าท้องผมเริ่มเห็นก้อนอ่อนๆ 6 ก้อนที่กำลังเรียงตัวกัน (555+) อยากรู้แล้วใช่ม้า ว่าทำยังไง ^_^
--- หลักของการลดน้ำหนักที่ถูกต้องคืออะไร ---
หลายๆ คนคงทราบกันดีอยู่แล้วครับเรื่องของวิธีการลดน้ำหนัก ซึ่งผมคิดว่าปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการลดน้ำหนักเลย คือ “วินัย” (จริงๆ ตัวผมก็ไม่ค่อยมีนะ 555+) ทีนี้มาดูกันเลยดีกว่าว่าเราควรจะจัดกิจวัตรประจำวันของเรายังไงบ้าง
1. กินอาหารให้ครบ 3 มื้อ
การกินอาหารให้ครบ 3 มื้อมันช่วยยังไง ลองคิดดูนะครับ ถ้าเรางดอาหาร 1 มื้อนั่นเท่ากับว่าเรากำลังไปรบกวนการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายให้ทำงานผิดปกติ แน่นอนว่าร่างกายจะปรับตัวให้เข้ากับกิจวัตรประจำวันของเรา นั่นแปลว่าถ้าเรากิน 2 มื้อ ร่างกายจะสั่งการเลยว่าต้องเก็บพลังงานให้มากขึ้นเพื่อมาสำรองไว้ (เก็บไว้ในรูปไขมัน) ดังนั้นเราอาจจะต้องกินมากกว่าเดิมเพื่อทดแทนอีก 1 มื้อที่หายไป เพราะร่างกายกำลังปรับสมดุลใหม่ แล้วพอเรากลับมากิน 3 มื้อปกติ จะกลายเป็นว่าเรามีพลังงานสะสมอยู่เยอะพอแล้ว แล้วเราก็จะกินมากกว่าตอนที่กิน 2 มื้อเสียอีก ดังนั้นเลยกลายเป็นว่าร่างกายก็จะทำการเก็บสะสมอาหารที่เรากินเกินเข้าไปอีก สังเกตมั้ยครับว่าช่วงที่เราอดอาหาร ตอนกลางคืนเราจะหิวมากๆ ตอนเรากลับมากิน 3 มื้อ เราจะรู้สึกว่าเจริญอาหารกว่าปกติ ^_^
2. กินอาหารให้มีสารอาหารครบถ้วน (5 หมู่)
การกินสารอาหารให้ครบ 5 หมู่ จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยในการลดความหิวของเราครับ เพราะการหิวมีเหตุปัจจัยหลายอย่างมาก สาเหตุหลักมาจากการขาดสารอาหาร ดังนั้นการกินสารอาหารให้ครบ 5 หมู่จึงเป็นสิ่งจำเป็น และทำให้ร่างกายมีสุขภาพดี มีสมดุลที่ดีด้วย ไม่โทรม
3. ควบคุมแคลอรี่ (กินให้น้อยกว่าที่ใช้)
หรือที่เรียกอีกแบบว่าการกินแบบคุมแคลอรี่ ซึ่งเป็นหลักการที่ง่ายมากเลยครับ (แต่ทำยาก เพราะหิวบ่อย 555+) คือ ถ้าหากเรากินให้แคลอรี่น้อยกว่าแคลอรี่ที่ร่างกายต้องใช้ในแต่ละวัน ร่างกายจะดึงพลังงานที่สะสมอยู่ออกมาใช้เอง เป็นวิธีธรรมชาติ เมื่อร่างกายดึงพลังงานเก่าออกมาใช้ครบประมาณ 7,000 kcal น้ำหนักเราก็จะลดลง 1 kg จุดสำคัญมันอยู่ตรงนี้ครับ หลายๆ คนจะเลือกใช้วิธีการอดอาหาร เพราะคิดว่าง่ายที่สุดที่จะทำให้เรากินน้อยกว่าที่ใช้ แต่เปล่าเลย การอดอาหารอย่างที่บอกไปในข้อ 1 เมื่อเรากินขาด ร่างกายจะต้องหาวิธีเก็บ และเก็บให้นานที่สุดจึงเก็บพลังงานไว้ในรูปของไขมัน
4. ดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน
ตามที่ทราบกันคือ ใมห้กินน้ำวันละ 8 แก้ว หรือประมาณ 2 ลิตรในแต่ละวัน ยิ่งฤดูร้อนยิ่งต้องกินน้ำให้มากขึ้น แต่การกินน้ำนี้ไม่ใช่กินทีเดียว 2 ลิตรเลยนะครับ เพราะการกินน้ำทีเดียวครั้งละมากๆ จะเป็นเหมือนการราดน้ำล้าง คือน้ำปริมาณมากจะไหลผ่านอวัยวะต่างๆ ของเราอย่างรวดเร็ว อันนี้มีรุ่นพี่แนะนำเพิ่มเติมมาว่า "การดื่มน้ำเข้าไปทีละเยอะๆ ก็ไม่ได้แปลว่าน้ำมันไม่ได้ดูดซึมนะ มันก็ดูดซึมได้จนหมดแหละ (ถ้าน้ำไม่ถูกดูดซึม จะถ่ายเหลว เป็นอาการของท้องร่วง) เลือดจะมีปริมาตรมากขึ้น ความดันจะสูงขึ้น แล้วน้ำส่วนเกินก็จะออกมาเป็นฉี่ใสๆ คนปกติไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้ามีโรคความดัน โรคไตอยู่ อันนี้ไม่ควร สรุปคือดื่มน้ำคราวละมากๆ ก็ยังได้ประโยชน์อยู่ และไม่ได้ร้ายแรงอะไรในคนปกติ แต่จิบทีละหน่อยๆ ก็จะช่วยชดเชยน้ำที่สูญเสียไประหว่างวันได้ดีกว่าจิบคราวละมากๆ" ดังนั้นการกินน้ำให้ใช้การจิบ จิบน้ำเรื่อยๆ ตลอดทั้งวันไม่ให้ขาด ร่างกายจะสามารถดูดซึมน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมถ้าใครเรียนเคมีมาจะรู้เลยว่าสารอาหารแต่ละตัวในการย่อยจะต้องใช้น้ำในการทำปฏิกิริยา เพื่อย่อยสารอาหารให้เป็นหน่วยที่เล็กลง
5. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ในเรื่องการออกกำลังกายก็จะมีหลายแบบมาก เช่น เวท = Anaerobic exercise ประเภทหนึ่ง และ Cardio = Aerobic exercise ประเภทหนึ่ง โดยการออกกำลังกายแต่ละแบบก็จะช่วยเสริมสร้างร่างกายแตกต่างกันไป ต้องทำเป็นประจำอย่างน้อย 30 นาที/วัน และ 3 – 6 วัน/สัปดาห์ (รายละเอียดการออกกำลังกายลองไปศึกษาดูตามอินเตอร์เน็ตนะครับ หรือแอดเฟสมาคุยกันก็ได้ เพราะรายละเอียดมันเยอะ ^_^) ผลของการออกกำลังกายคือการใช้พลังงานให้มากขึ้น เพิ่มปริมาณการเผาผลาญให้มากขึ้น เราจะได้มีการใช้พลังงานให้มากกว่าที่กินเข้าไป น้ำหนักเราก็จะลดลง และยังเสริมสร้างสุขภาพหัวใจและกล้ามเนื้อเราได้ด้วย
6. นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนพักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวัน 6 – 8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ปรับสภาพ ฟื้นฟูระบบ คล้ายกับการ save ข้อมูลในเกมอ่ะครับ กิจวัตรประวันที่เราทำในแต่ละวัน เราได้ทำลายกล้ามเนื้ออะไรไปบ้าง ไขมันออกไปมากน้อยแค่ไหน ร่างกายจะปรับสภาพให้กลับมาพร้อมใช้งานในวันรุ่งขึ้นได้ และการนอนก่อน 5 ทุ่ม ร่างกายจะสามารถผลิต Growth hormone ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกด้วย ดังนั้นถ้าเรานอนพักผ่อนไม่เพียงพอ แน่นอนว่าร่างกายจะไม่มีโอกาสได้พักเลย และการฟื้นฟูก็จะไม่เต็มที่ ร่างกายของเราจะเหมือนเครื่องยนต์ที่ heat ตลอดเวลา เพราะยังมีการเผาผลาญอยู่ตลอด บางคนเลยใช้โอกาสนี้ไม่นอน เพื่อให้ร่างกายได้ใช้พลังงานมากกว่าที่เรากินเข้าไป แต่วิธีการนี้น่ากลัวมากครับ เพราะเมื่อเราตื่นอยู่ มีการเผาผลาญอยู่ ร่างกายจะสั่งการให้หิวได้ด้วย เพราะต้องใช้พลังงานเพิ่ม เคยสังเกตมั้ยครับว่าวันไหนนอนดึก ตอนดึกๆ จะหิวขึ้นมาทันที แล้วเราก็จะกินก่อนนอน เพื่อให้หลับฝันดี 555+
หลังจากอ่านกันมาถึงตรงนี้ หลายคนคงบอกว่า "รู้อยู่แล้วน่าข้อมูลพวกนี้ ไม่เห็นจะมีอะไรใหม่เลย" แต่เชื่อมั้ยครับทฤษฎีน่ะมันง่าย แต่การลงมือปฏิบัติน่ะมันไม่ได้ง่ายเลย จากประสบการณ์การลดน้ำหนักของผมเองตั้งแต่สมัยมัธยม นี่ก็ผ่านมาเป็นเวลาเกือบ 10 ปีแล้ว การลดน้ำหนักทำได้ยากมากๆ ถ้าไม่ทำอย่างถูกวิธี และไม่มีวินัย และผมก็ต้องขอขอบคุณโปรแกรมลดน้ำหนักจากรุ่นพี่ผมจริงๆ ที่ทำให้ผมทราบข้อมูลการลดน้ำหนักที่ถูกต้องจริงๆ มีหุ่นที่ฝันไว้ในวันนี้ ดังนั้นผมหวังว่าบทความนี้น่าจะช่วยเสริมกำลังใจให้กับคนที่กำลังลดน้ำหนักได้บ้างไม่มากก็น้อย และขอให้ทุกคนมีสุขภาพและหุ่นที่ดีดังที่ฝันไว้ครับ ^_^
แอบเข้ามาดูเฟสผมได้ครับ แวะเข้ามาพูดคุย แลกเปลี่ยนกัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/micky.boice
อันนี้เป็นรูปที่ทำมาเล่นๆ ครับ จะได้เห็นภาพ 555+






กว่าจะวิวัฒนาการมาเป็นคน
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน และแนะนำรายละเอียดเพิ่มเติมทุกคนครับ
แนะนำการลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี + ประสบการณ์การลดน้ำหนักที่นานมาก
ทำยังไงนะ? ถึงจะมีหุ่นดีๆ เหมือนกับคนอื่นเค้าบ้าง
หลายๆ คนคงมีคำถามนี้อยู่ในใจ ซึ่งผมก็เป็นคนนึงที่มี ผมต้องเท้าความก่อนว่าผมอ้วนมาแต่เด็ก จนผู้ใหญ่หรือเพื่อนๆ ติดภาพว่าอ้อ ไอ้คนนี้ไงที่อ้วนๆ ซึ่งปัจจุบันผมลดความอ้วนลงมาจนได้หุ่นที่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มา ^_^ แล้วก็มีหลายๆ คนถามสูตรผมมาเยอะว่าทำยังไงถึงผอม เมื่อก่อนนี้อ้วนนี่นา 555+ จริงๆ แล้วทุกๆ คนก็รู้เทคนิคการลดน้ำหนักที่ถูกต้องกันอยู่แล้วครับ แต่อาจจะไม่ได้โฟกัสกับการลดน้ำหนักมากนัก ดังนั้นก่อนที่จะบอกเคล็ดลับกัน ผมขอเล่าประสบการณ์การลดน้ำหนักของผมให้ฟังก่อนว่าผมเคยทำอะไรมาบ้าง
--- เริ่มต้นจากช่วงสมัย ม.4 ผมสูง 168 cm (ถือว่าเตี้ยเนาะ 555+) น้ำหนักเพิ่มขึ้นปีละ 3 - 5 kg มาโดยตลอด ซึ่งตอนนั้นมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 80+ kg (อ้วนท้วนสมบูรณ์มาก) จังหวะนั้นคุณแม่ผมแนะนำ “ยาลดน้ำหนัก” ตัวนึงจากหมอที่แม่บอกว่าเชื่อถือได้ ไม่โยโย่ เพราะมียาหยุด สามารถลดเฉพาะส่วนได้ด้วย (ซึ่งแม่ผมก็รับมาขายคนแถวบ้านด้วยนะ 555+) และบวกกับผมตั้งใจจะลดน้ำหนักอย่างจริงจัง เพราะเพื่อนๆ ในห้องเรียนเท่าที่สังเกตดู ผมอ้วนที่สุดจริงๆ ซึ่งผมรับไม่ได้ ผมเลยลองดูตามที่คุณแม่แนะนำ ตัดสินใจกินยาลดน้ำหนัก และทำอย่างอื่นควบคู่ไปด้วยเท่าที่จะทำได้ เพราะคุณแม่บอกว่าต้องทำอย่างอื่นควบคู่กันไปด้วย เช่น อดอาหารมื้อเย็น ออกกำลังกาย วิ่ง jogging เต้นแอโรบิก กินข้าว 1 ทัพพี (แบบไม่พูน) งดของทอด น้ำอัดลม ขนมหวานที่ผ่านเข้ามาในชีวิตทั้งหมด ซึ่งผมบอกเลยว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ทรมานมากที่สุดในชีวิต เพราะในแต่ละวันผมเจออาหารล่อตาล่อใจหลายอย่างมาก เช่น ไก่ทอด ลอดช่องแตงไทยน้ำกะทิ เฟรนช์ฟราย ที่เรียงรายกันอยู่บนโต๊ะอาหาร แต่เพื่อน้ำหนักที่ลดลง และหุ่นที่ดีในอนาคต ผมก็ต้องตัดใจ อดทนทำไปเรื่อยๆ
--- จนกระทั่งผ่านไปประมาณ 2 ปี คือผมอยู่ประมาณ ม.5 กำลังจะขึ้น ม.6 ผลปรากฏว่าผมผอมลงจริงๆ น้ำหนักผมจาก 80 kg ลดลงมาอยู่ที่ 65 kg อย่างน่าอัศจรรย์ เสื้อผ้า กางเกง ชุดทั้งหลาย ใส่แล้วหลวมหมด ผมดีใจมาก แต่สุดท้ายผมก็ต้องแลกมากับสุขภาพที่เสียไป และอาการข้างเคียงที่ไม่เคยสังเกตเลยว่าเราเป็น คือ พุงของผมมันย้วย ไม่กระชับ เวลาก้มเก็บของจะรู้สึกมึนๆ เหมือนจะวูบ รู้สึกหัวใจเต้นแปลกๆ เวลาเหนื่อย ซึ่งผมรู้เลยว่าสาเหตุมาจากยาลดน้ำหนักนั้นแน่นอน ผมเลยตัดสินใจหยุดการใช้ยาลดน้ำหนักตั้งแต่นั้น และเคราะห์ซ้ำกรรมซัด คือยาหยุดของคุณแม่หมด และหาซื้อยาตัวนี้จากหมอที่แม่บอกไม่ได้ด้วย (เอาแล้วไงกรู โยโย่แน่ๆ) ผมเลยต้องอดทนทำกิจวัตรประจำวันทุกอย่างในชีวิตหนักกว่าตอนลดน้ำหนัก เพื่อไม่ให้มันกลับมาโยโย่ คือ ต้องออกกำลังกายหนักกว่าเดิม ถี่กว่าเดิม ควบคุมอาหารหนักกว่าเดิม กินน้อยกว่าเดิม แล้วตอนนั้นเป็นช่วงเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วย ทำให้ชีวิตของผมช่วงนั้นยิ่งตกต่ำหนักเข้าไปอีก แล้วสุดท้ายหลังจากอดทนมานาน ผลที่ได้คือ ทุกอย่างเหมือนเดิม น้ำหนักไม่ลดลง หุ่นไม่ดีขึ้น พุงยังย้วยเหมือนเดิม กินของทอดชิ้นเดียวน้ำหนักขึ้นเลย เท่ากับว่าสิ่งที่ผมอดทนทำมามันสูญเปล่ามากๆ แต่ผมก็ยังมีความหวังว่าสักวันหุ่นผมจะดีขึ้น จึงทำแค่ควบคุมน้ำหนักนับแคลอรี่ เสริมการออกกำลังกายบ้าง (ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ออก 555+) หลังจากผมจบ ม.6 สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ผมก็กลับมาใช้ชีวิตปกติ กินบุฟเฟ่ กินของทอด กินของมัน อย่างเอร็ดอร่อย จนมารู้ตัวอีกทีคือ น้ำหนักผมอยู่ที่ 72 kg (โอ้ว shock!) ตัวเราเองจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงหรอกว่าอ้วนขึ้น แต่เพราะคนรอบตัวเราทัก และเอารูปเก่ามาเปรียบเทียบให้ดู เราเลยเห็นการขยายร่างของตัวเราเอง 555+ พอรู้อย่างนี้ ผมเลยคิดว่า ไม่ได้ละ เราต้องกลับมาลดน้ำหนักอีกครั้ง แต่เราจะไม่ใช้ยาลดน้ำหนักอีก เพราะ side effect มันเยอะมาก เลยเลือกการลดแบบธรรมชาติ แต่ก็ไม่รู้วิธีที่ถูกต้อง ตามอินเตอร์เน็ตก็มีการแชร์ความรู้เรื่องลดน้ำหนักเยอะแยะมากมาย ผมก็เข้าไปศึกษาแล้วก็ตั้งใจลดน้ำหนักอีกครั้งนึง แต่สุดท้ายครับ ผมไม่สามารถทำให้น้ำหนักกลับไปเป็น 65 kg เหมือนตอนมัธยมได้อีก น้ำหนักผมไต่ๆ อยู่ที่ 67 – 70 kg เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาตามการกิน ออกกำลังกายให้ตายก็ไม่ลง ผมเลยไม่รู้จะทำยังไง ก็ได้แต่ควบคุมให้น้ำหนักตัวเองไม่เกินจากนี้ แต่เวลาผ่านไป นานเข้าๆ จนกระทั่งผมเรียนปริญญาตรีจบ เข้าทำงานเป็นติวเตอร์ที่สถาบันกวดวิชาแห่งหนึ่ง ผมก็ใช้ชีวิตปกติควบคุมอาหาร ออกกำลังกายบ้าง ไม่ออกบ้างตามอารมณ์ จนวันนึงผมพบว่า น้ำหนักผมคงที่นะ แต่พุงมันใหญ่ขึ้น หน้าเราบวมขึ้น กางเกงก็แน่นขึ้น (ซื้อไซส์ใหม่ตลอดเลย 555+) โอ้ว ทำยังไงล่ะทีนี้? ...
แล้ววันนึง ผมได้เจอกับรุ่นพี่ที่ไม่ได้เจอกันมานาน เข้ามาแนะนำโปรแกรมลดน้ำหนักให้ผม เหมือนฟ้ามาโปรด (เว่อร์เนาะ 555+) พี่เค้าเข้ามาให้ข้อมูลการลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี (ซึ่งผมจะไม่เล่าอะไรเกี่ยวกับรายละเอียดโปรแกรมนะครับ เดี๋ยวจะกลายเป็นการขายของ 555+) ซึ่งตัวโปรแกรมไม่ได้ซับซ้อนเลย เป็นวิธีการที่ทุกคนรู้กันอยู่แล้ว ซึ่งผลปรากฏว่า... ผ่านไป 3 เดือน น้ำหนักผมลดลงไป 9 kg พร้อมกับสุขภาพที่ดีขึ้น และหุ่นที่ firm ขึ้นจนสัมผัสได้ว่าหน้าท้องผมเริ่มเห็นก้อนอ่อนๆ 6 ก้อนที่กำลังเรียงตัวกัน (555+) อยากรู้แล้วใช่ม้า ว่าทำยังไง ^_^
--- หลักของการลดน้ำหนักที่ถูกต้องคืออะไร ---
หลายๆ คนคงทราบกันดีอยู่แล้วครับเรื่องของวิธีการลดน้ำหนัก ซึ่งผมคิดว่าปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการลดน้ำหนักเลย คือ “วินัย” (จริงๆ ตัวผมก็ไม่ค่อยมีนะ 555+) ทีนี้มาดูกันเลยดีกว่าว่าเราควรจะจัดกิจวัตรประจำวันของเรายังไงบ้าง
1. กินอาหารให้ครบ 3 มื้อ
การกินอาหารให้ครบ 3 มื้อมันช่วยยังไง ลองคิดดูนะครับ ถ้าเรางดอาหาร 1 มื้อนั่นเท่ากับว่าเรากำลังไปรบกวนการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายให้ทำงานผิดปกติ แน่นอนว่าร่างกายจะปรับตัวให้เข้ากับกิจวัตรประจำวันของเรา นั่นแปลว่าถ้าเรากิน 2 มื้อ ร่างกายจะสั่งการเลยว่าต้องเก็บพลังงานให้มากขึ้นเพื่อมาสำรองไว้ (เก็บไว้ในรูปไขมัน) ดังนั้นเราอาจจะต้องกินมากกว่าเดิมเพื่อทดแทนอีก 1 มื้อที่หายไป เพราะร่างกายกำลังปรับสมดุลใหม่ แล้วพอเรากลับมากิน 3 มื้อปกติ จะกลายเป็นว่าเรามีพลังงานสะสมอยู่เยอะพอแล้ว แล้วเราก็จะกินมากกว่าตอนที่กิน 2 มื้อเสียอีก ดังนั้นเลยกลายเป็นว่าร่างกายก็จะทำการเก็บสะสมอาหารที่เรากินเกินเข้าไปอีก สังเกตมั้ยครับว่าช่วงที่เราอดอาหาร ตอนกลางคืนเราจะหิวมากๆ ตอนเรากลับมากิน 3 มื้อ เราจะรู้สึกว่าเจริญอาหารกว่าปกติ ^_^
2. กินอาหารให้มีสารอาหารครบถ้วน (5 หมู่)
การกินสารอาหารให้ครบ 5 หมู่ จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยในการลดความหิวของเราครับ เพราะการหิวมีเหตุปัจจัยหลายอย่างมาก สาเหตุหลักมาจากการขาดสารอาหาร ดังนั้นการกินสารอาหารให้ครบ 5 หมู่จึงเป็นสิ่งจำเป็น และทำให้ร่างกายมีสุขภาพดี มีสมดุลที่ดีด้วย ไม่โทรม
3. ควบคุมแคลอรี่ (กินให้น้อยกว่าที่ใช้)
หรือที่เรียกอีกแบบว่าการกินแบบคุมแคลอรี่ ซึ่งเป็นหลักการที่ง่ายมากเลยครับ (แต่ทำยาก เพราะหิวบ่อย 555+) คือ ถ้าหากเรากินให้แคลอรี่น้อยกว่าแคลอรี่ที่ร่างกายต้องใช้ในแต่ละวัน ร่างกายจะดึงพลังงานที่สะสมอยู่ออกมาใช้เอง เป็นวิธีธรรมชาติ เมื่อร่างกายดึงพลังงานเก่าออกมาใช้ครบประมาณ 7,000 kcal น้ำหนักเราก็จะลดลง 1 kg จุดสำคัญมันอยู่ตรงนี้ครับ หลายๆ คนจะเลือกใช้วิธีการอดอาหาร เพราะคิดว่าง่ายที่สุดที่จะทำให้เรากินน้อยกว่าที่ใช้ แต่เปล่าเลย การอดอาหารอย่างที่บอกไปในข้อ 1 เมื่อเรากินขาด ร่างกายจะต้องหาวิธีเก็บ และเก็บให้นานที่สุดจึงเก็บพลังงานไว้ในรูปของไขมัน
4. ดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน
ตามที่ทราบกันคือ ใมห้กินน้ำวันละ 8 แก้ว หรือประมาณ 2 ลิตรในแต่ละวัน ยิ่งฤดูร้อนยิ่งต้องกินน้ำให้มากขึ้น แต่การกินน้ำนี้ไม่ใช่กินทีเดียว 2 ลิตรเลยนะครับ เพราะการกินน้ำทีเดียวครั้งละมากๆ จะเป็นเหมือนการราดน้ำล้าง คือน้ำปริมาณมากจะไหลผ่านอวัยวะต่างๆ ของเราอย่างรวดเร็ว อันนี้มีรุ่นพี่แนะนำเพิ่มเติมมาว่า "การดื่มน้ำเข้าไปทีละเยอะๆ ก็ไม่ได้แปลว่าน้ำมันไม่ได้ดูดซึมนะ มันก็ดูดซึมได้จนหมดแหละ (ถ้าน้ำไม่ถูกดูดซึม จะถ่ายเหลว เป็นอาการของท้องร่วง) เลือดจะมีปริมาตรมากขึ้น ความดันจะสูงขึ้น แล้วน้ำส่วนเกินก็จะออกมาเป็นฉี่ใสๆ คนปกติไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้ามีโรคความดัน โรคไตอยู่ อันนี้ไม่ควร สรุปคือดื่มน้ำคราวละมากๆ ก็ยังได้ประโยชน์อยู่ และไม่ได้ร้ายแรงอะไรในคนปกติ แต่จิบทีละหน่อยๆ ก็จะช่วยชดเชยน้ำที่สูญเสียไประหว่างวันได้ดีกว่าจิบคราวละมากๆ" ดังนั้นการกินน้ำให้ใช้การจิบ จิบน้ำเรื่อยๆ ตลอดทั้งวันไม่ให้ขาด ร่างกายจะสามารถดูดซึมน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมถ้าใครเรียนเคมีมาจะรู้เลยว่าสารอาหารแต่ละตัวในการย่อยจะต้องใช้น้ำในการทำปฏิกิริยา เพื่อย่อยสารอาหารให้เป็นหน่วยที่เล็กลง
5. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ในเรื่องการออกกำลังกายก็จะมีหลายแบบมาก เช่น เวท = Anaerobic exercise ประเภทหนึ่ง และ Cardio = Aerobic exercise ประเภทหนึ่ง โดยการออกกำลังกายแต่ละแบบก็จะช่วยเสริมสร้างร่างกายแตกต่างกันไป ต้องทำเป็นประจำอย่างน้อย 30 นาที/วัน และ 3 – 6 วัน/สัปดาห์ (รายละเอียดการออกกำลังกายลองไปศึกษาดูตามอินเตอร์เน็ตนะครับ หรือแอดเฟสมาคุยกันก็ได้ เพราะรายละเอียดมันเยอะ ^_^) ผลของการออกกำลังกายคือการใช้พลังงานให้มากขึ้น เพิ่มปริมาณการเผาผลาญให้มากขึ้น เราจะได้มีการใช้พลังงานให้มากกว่าที่กินเข้าไป น้ำหนักเราก็จะลดลง และยังเสริมสร้างสุขภาพหัวใจและกล้ามเนื้อเราได้ด้วย
6. นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนพักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวัน 6 – 8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ปรับสภาพ ฟื้นฟูระบบ คล้ายกับการ save ข้อมูลในเกมอ่ะครับ กิจวัตรประวันที่เราทำในแต่ละวัน เราได้ทำลายกล้ามเนื้ออะไรไปบ้าง ไขมันออกไปมากน้อยแค่ไหน ร่างกายจะปรับสภาพให้กลับมาพร้อมใช้งานในวันรุ่งขึ้นได้ และการนอนก่อน 5 ทุ่ม ร่างกายจะสามารถผลิต Growth hormone ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกด้วย ดังนั้นถ้าเรานอนพักผ่อนไม่เพียงพอ แน่นอนว่าร่างกายจะไม่มีโอกาสได้พักเลย และการฟื้นฟูก็จะไม่เต็มที่ ร่างกายของเราจะเหมือนเครื่องยนต์ที่ heat ตลอดเวลา เพราะยังมีการเผาผลาญอยู่ตลอด บางคนเลยใช้โอกาสนี้ไม่นอน เพื่อให้ร่างกายได้ใช้พลังงานมากกว่าที่เรากินเข้าไป แต่วิธีการนี้น่ากลัวมากครับ เพราะเมื่อเราตื่นอยู่ มีการเผาผลาญอยู่ ร่างกายจะสั่งการให้หิวได้ด้วย เพราะต้องใช้พลังงานเพิ่ม เคยสังเกตมั้ยครับว่าวันไหนนอนดึก ตอนดึกๆ จะหิวขึ้นมาทันที แล้วเราก็จะกินก่อนนอน เพื่อให้หลับฝันดี 555+
หลังจากอ่านกันมาถึงตรงนี้ หลายคนคงบอกว่า "รู้อยู่แล้วน่าข้อมูลพวกนี้ ไม่เห็นจะมีอะไรใหม่เลย" แต่เชื่อมั้ยครับทฤษฎีน่ะมันง่าย แต่การลงมือปฏิบัติน่ะมันไม่ได้ง่ายเลย จากประสบการณ์การลดน้ำหนักของผมเองตั้งแต่สมัยมัธยม นี่ก็ผ่านมาเป็นเวลาเกือบ 10 ปีแล้ว การลดน้ำหนักทำได้ยากมากๆ ถ้าไม่ทำอย่างถูกวิธี และไม่มีวินัย และผมก็ต้องขอขอบคุณโปรแกรมลดน้ำหนักจากรุ่นพี่ผมจริงๆ ที่ทำให้ผมทราบข้อมูลการลดน้ำหนักที่ถูกต้องจริงๆ มีหุ่นที่ฝันไว้ในวันนี้ ดังนั้นผมหวังว่าบทความนี้น่าจะช่วยเสริมกำลังใจให้กับคนที่กำลังลดน้ำหนักได้บ้างไม่มากก็น้อย และขอให้ทุกคนมีสุขภาพและหุ่นที่ดีดังที่ฝันไว้ครับ ^_^
แอบเข้ามาดูเฟสผมได้ครับ แวะเข้ามาพูดคุย แลกเปลี่ยนกัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อันนี้เป็นรูปที่ทำมาเล่นๆ ครับ จะได้เห็นภาพ 555+
กว่าจะวิวัฒนาการมาเป็นคน
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน และแนะนำรายละเอียดเพิ่มเติมทุกคนครับ